วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

[Fic] Kuroko no Basket - Cross Think, Missing Love


PS. จะไม่อธิบายอะไรมากนะคะเพราะถือว่าเป็นฟิค และคนอ่านส่วนมากรู้จักกันดีอยู่แล้ว
ส่วนคนไม่รู้ก็ขอโทษค่ะ ทำใจนิสนุงนะ -.-

“กลับมาแล้วครับ”
“ไปไหนมาเท็ตสึยะ ไปกับใคร ไปทำอะไร” คำถามดังขึ้นทันทีเมื่อประตูห้องปิดลง ชายหนุ่มในห้องละสายตาจากจอโทรทัศน์เหลือบมองคนที่กำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่นไป
“ซ้อมบาสที่ยิมน่ะ กับอาโอมิเนะคุง” ตอบคำถามเก็บรองเท้าเข้าชั้นแล้วเดินตรงไปที่บาร์ครัว มองหาของกินในตู้เย็นแล้วหยิบเอาแซนวิชที่เหลือจากเมื่อคืนขึ้นมากินรองท้อง
“ดึกขนาดนี้ทำไมไม่นอนที่ยิมกับมันซะเลยล่ะ” กดรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ
“ถ้านอนได้ก็ดีสิครับ” เขาตอบเสียงเบาทว่าแจ่มชัดในโสตประสาทของอีกคน รีโมทถูกขว้างไปกระแทกกับผนังทางเดินนอกห้องนั่งเล่น
“อยากจะไปมากนักก็ไสหัวไปสิ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบและเย็นชา
“ผมแค่คิดว่าอากาชิคุงอาจจะดีใจถ้าได้ยินผมตอบแบบนั้น” คุโรโกะ เท็ตสึยะว่าไว้แบบนั้นแล้วเดินเข้าห้องนอนไป อากาชิเดินไปปิดโทรทัศน์แล้วเดินไปเก็บซากรีโมทอย่างใจเย็น เพราะอย่างน้อยคุโรโกะก็ไม่ได้เดินจากไปอย่างที่ปากเขาว่า อย่างน้อยตอนนี้คุโรโกะก็ยังเลือกเขา...

โรงเรียนมัธยมเทย์โคว ยิมบาสเกตบอล
“อีกสองวันทีมเราแข่งกับโรงเรียน Y นะคะ วันนี้ฉันก็เลยทำไอ้นี่มาให้ด้วยล่ะ” โมโมอิยิ้มร่าในขณะที่ส่งตารางซ้อมมาให้ “ถึงจะแค่กระชับมิตร แต่ก็ควรซ้อมไว้นะ”
“ไม่เห็นจำเป็นตรงไหน” อาโอมิเนะว่าโยนกระดาษนั่นคืนโมโมอิ
“ถึงเก่งแต่ถ้าขาดการซ้อมฝีมือก็ทื่อลงได้เหมือนกัน” มิโดริมะแขวะไปคำแยกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนใครเพื่อน
“ถือซะว่าซ้อมเผื่อการแข่งใหญ่ที่จะมาถึงก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันเองนี่นะ” คิเสะว่ายิ้มหน้าบานตามมิโดริมะไปเปลี่ยนชุดด้วย
“ถ้าไม่ซ้อมละก็ผมแซงหน้าไม่รู้ด้วยนะครับ” คุโรโกะว่ายิ้มๆพับกระดาษใส่กระเป๋า คำพูดที่ไม่มีทางเป็นไปได้ทำเอาอาโอมิเนะระเบิดหัวเราะออกมา
“บ้า มันเป็นไปไม่ได้หรอก เงาอย่างนายจะปรากฏออกมาได้ก็เฉพาะตอนที่แสงอย่างฉันอยู่ด้วยเท่านั้นล่ะ เจ้าบ้าเท็ตสึเอ้ย” จับล็อคคอยีหัวด้วยความมันส์มืออย่างยิ่ง “เอ้า ซ้อมๆ”
“มันเจ็บนะครับ”
“...จัดหนักไปเลยนะซัทสึกิ ไม่ต้องคิดว่าเท็ตสึยะจะไม่ไหว ที่ทุกคนยังย่ำอยู่กับที่เพราะอะไรเธอคงรู้นะ” อากาชิบอกเสียงเข้มมองตามสองคนที่เดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกัน
“ย่ำอยู่กับที่เหรอ แต่อัตราการพัฒนาของทุกคนก็เพิ่มขึ้นทุกวันนะ” เธอแย้ง เปิดแฟ้มหน้าที่มีกราฟของแต่ละคนให้กัปตันทีมดู
“แค่นี้ไม่ทำให้ได้ชัยชนะเสมอไปหรอก ไปแก้มาใหม่ซะ”
“ต แต่...” กำลังจะแย้งนัยน์ตาคมกริบก็ตวัดขึ้นมามองจนไม่กล้าเถียง พออากาชิเดินไปแล้วเธอก็งึมงำๆอยู่คนเดียว
“เหมือนช่วงนี้อากาชินจะอารมณ์ไม่ดีนะ ระวังหน่อยล่ะ” มุราซาคิบาระยัดซองมันฝรั่งทอดใส่มือโมโมอิแล้วเดินตามไป
“โธ่! ทุกคนก็กลัวแต่อากาชิคุงหมดเลยอะ! ...รวมถึงตัวฉันเองด้วย” ประโยคหลังแผ่วเสียงลงอย่างเศร้าใจ

การซ้อมก็เป็นไปอย่างราบรื่นอย่างเช่นทุกวัน และไม่มีวันไหนเลยที่อากาชิจะไม่หัวเสียกับสิ่งที่เห็น
“อาโอมิเนจจิเป็นคนบอกไม่อยากจะซ้อมเองแท้ๆ แต่ก็เลิกทีหลังตลอด คุโรโกจจิก็ตั้งใจ๊ ตั้งใจ”
“เท็ตสึคุงเวลาเล่นบาสนี่ช่างเปล่งประกาย อ๊า”
แล้วคิเสะกับโมโมอิจับมือกันมองอาโอมิเนะกับคุโรโกะตาเป็นประกายวิ้งๆแลดูน่ากลัวยิ่งนัก และนั่นล่ะที่ทำให้อากาชิยิ่งหัวเสียหนักเข้าไปอีก
“เท็ตสึยะ” อากาชิส่งเสียงเรียกให้คนในสนามหันมามองอย่างสงสัย “พอได้แล้ว” ออกปากบอกให้พอทั้งๆที่เป็นคนสั่งให้จัดตารางหนักๆ แต่อันที่จริงมันก็เลยเวลามาแล้ว เขามีสิทธิที่จะบอกให้หยุด
“ผมจะซ้อมครับ อากาชิคุงกลับไปก่อนเถอะ” หันมาบอกแล้วชู้ตลูกไปทางแป้น มันโดนขอบเด้งดึ๋งๆไปอีกฝั่งของสนาม แล้วอาโอมิเนะก็ระเบิดหัวเราะกร๊ากออกมา
“...” อากาชิไม่ตอบอะไร เขาแค่เดินออกมาจากยิมเงียบๆคนเดียว พอคิดว่าลับสายตาผู้อื่นแล้วเขาก็เอนตัวไปพิงผนังเหมือนกับหมดแรง
จะมีวันไหนมั้ยที่สองคนนี้ไม่ซ้อมกันจนดึกดื่น แล้วทำไมต้องซ้อมกันแค่สองคน แล้วทำไมถึงได้ทำหน้าตามีความสุขเวลาอยู่กับหมอนั่น ทำไมเวลาอยู่กับเขาถึงไม่เคยยิ้มให้ ทำไม...หัวใจดวงนั้นยังมีที่ว่างไว้เพื่อเขาหรือเปล่า แม้แต่คำว่ารัก ไม่สิ แม้แต่คำว่า ชอบ เขาก็ยังไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง
“ฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งนายไปหรอกเท็ตสึยะ ไม่ว่าจะต้องทำยังไงฉันก็ไม่ยอม”

“ฉันว่านายเลิกฝึกชู้ตเถอะ น่าจะเพิ่มกำลังกายให้มันมากกว่านี้นะ จุดอ่อนเดียวของนายไม่ใช่ทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่ว่าเป็นเรื่องของร่างกายที่อ่อนปวกเปียกนี่ต่างหาก” อาโอมิเนะว่าโยนบอลใส่คุโรโกะแบบให้รับได้ และพอรับได้เจ้าตัวก็ล้มลงไปอย่างที่คนปาคาดไว้ “บอกแล้วนายมันปวกเปียก”
“ในสนามมีใครเค้าส่งบอลแรงแบบนี้บ้างล่ะครับ” หรี่ตามองคนที่เดินมานั่งข้างๆกัน สายตาเหมือนจะถามว่าบ้าหรือเปล่า
“นายไม่รู้ตัวสินะว่าเวลาตัวเองส่งลูกน่ะมันโคตรจะแรง ฉันได้กล้ามเพิ่มขึ้นก็เพราะนายนั่นแหละ”
“โอ้ ดีใจมากเลยครับ” ทำหน้าทำตาภูมิใจซะเต็มประดาจนคนข้างๆหมั่นไส้เขกหัวไปหนึ่งที
“มันเจ็บนะครับ”
“เจ็บสิดี ไปๆ กลับได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าอากาชิก็ฆ่าฉันตายพอดี” ฉุดคุโรโกะให้ลุกขึ้นแต่ขาของคุโรโกะชาหนึบเพราะตะคริวกินก็เลยล้มลงไปอีกรอบแถมยังดึงอาโอมิเนะล้มลงไปด้วยเสียอีก ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในท่าที่ชวนให้อากาชิมาฆ่าจริงๆนั่นล่ะ อาโอมิเนะนอนทับคุโรโกะอยู่แบบมึนๆ “เจ้างี่เง่าเท็ตสึ”
“เจ็บของจริงเลยนะครับแบบนี้” นอนนิ่งมองเพดานด้านบนด้วยความอึดอัดอย่างถึงที่สุด โดนคนตัวเท่าควายทับนี่มันไม่เบาเลยจริงๆ
“ฉันก็เจ็บเหมือนกันล่ะน่า นี่เป็นไร”
“สงสัยจะเป็นตะคริว...” ยังฟังคำตอบไม่จบอาโอมิเนะจับคุโรโกะยกพาดบ่าเดินเข้าห้องพักไป ระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้ายังคงมีเสียงโวยวายและเสียงหัวเราะเหมือนสะใจของอาโอมิเนะลอยออกมาจากห้องตลอดจนกระทั่งคุโรโกะเดินออกมาก่อน ดูเหมือนอาโอมิเนะจะท้องเสียเลยให้เขาออกมารอก่อน และทันทีที่ปิดประตูด้านหน้าของคุโรโกะก็มืดไปหมด เขารู้สึกเหมือนถูกอุ้มขึ้นเหนือพื้น มองเห็นอีกทีก็มาอยู่ในห้องมืดๆที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์กีฬาแล้ว
“ถ้าไม่กลับมาก็คงไม่เห็น” เสียงนั้นทำให้คุโรโกะเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอในเวลาอย่างนี้ โดยเฉพาะที่นี่
“อากาชิคุง”
“ตกใจที่เห็นฉันเหรอ”
“ผมคิดว่านายกลับไปแล้วซะอีก” คำตอบไม่ตรงคำถามทำเอาอากาชิที่ทำเป็นใจเย็นชักอยากจะหลุดขึ้นมาหน่อยๆ
“ก็เห็นแล้วนี่ว่ายังอยู่”
“ครับ เห็นอยู่”
“กลับ” น้ำเสียงนั้นแสดงชัดเจนว่าเป็นคำสั่ง แล้วอากาชิก็ถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อคุโรโกะยังไม่ยอมกลับ
“แต่อาโอมิเนะคุงยังไม่ออกมาเลยนะครับ”
“หมอนั่นกลับเองได้ ไม่จำเป็นต้องห่วงจนออกนอกหน้าหรอก”
พอได้ยินอากาชิว่าอย่างนั้นคุโรโกะก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมก็บอกหลายครั้งแล้วนะครับว่ามันไม่ใช่อย่างที่อากาชิคุงคิด”
“งั้นเรามาพิสูจน์กันว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด”
สิ้นคำร่างของคุโรโกะก็ถูกจับหันหลังดันไปกระแทกกับม้ากระโดดดังโครม ตามด้วยเสื้อนอกที่ถูกกระชากออกไปได้ง่ายๆ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกทำอะไรเข็มขัดเส้นเล็กก็ถูกปลดออกแล้ว
“อากาชิคุง นี่มันในโรงเร-...” เสียงขาดห้วงไปเมื่อนิ้วชี้และนิ้วกลางของอากาชิสอดเข้ามาในโพรงปากจนทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ ร่างของอากาชิขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกร้อนที่แผ่นหลัง
“เปลี่ยนบรรยากาศยังไงล่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำเสื้อผ้านายเปื้อนหรอก” ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนี้ทำให้เปื้อนได้มากแค่ไหน
“อึก....อะ”
กางเกงนักเรียนถูกปลดออกแล้วพร้อมกับชั้นใน คุโรโกะหลับตาแน่นยามที่นิ้วร้อนนั้นพยายามจะสอดเข้ามาภายใน
“แห้งแบบนี้ก็แย่นะ นายคงจะเจ็บใช่มั้ย” ถามคำถามพร้อมกับเลื่อนมือไปหยอกส่วนที่กำลังแข็งขืนขึ้นมาเพราะมือของเขา คุโรโกะอยากจะบอกใจจะขาดว่าเจ็บ อยากจะตั้นหน้าคนพูดสักทีที่ถามแต่ไม่ยอมให้เขาตอบ
“เฮ้ เท็ตสึ”
เสียงจากนอกห้องเก็บอุปกรณ์ทำให้คุโรโกะยิ่งตื่นตัว และปฏิกิริยาแบบนั้นล่ะยิ่งทำให้อากาชิรู้สึกคลางแคลงใจมากขึ้น ถ้าหากไม่มีอะไรกันจริงทำไมถึงเป็นได้ขนาดนี้ อากาชิเอานิ้วออกจากปากของคุโรโกะก่อนจะดันนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลังพร้อมกันสามนิ้ว
“...!” คุโรโกะเกือบจะหลุดเสียงร้องออกไปแล้ว โชคดีที่ยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ทัน แล้วมือข้างนั้นก็ถูกอากาชิดึงออกไปไพร่หลังไว้ “ผมเจ็บ...อากาชิคุง” ว่าเสียงเบาราวกระซิบ ไหล่ที่อยู่ในท่าผิดรูปปวดตุบจนอยากร้องออกมาดังๆ
“เจ็บก็ร้องออกมาสิ กลัวอะไร” ว่าแล้วขยับนิ้วเข้าออก พอเห็นว่าคุโรโกะจะเอามืออีกข้างไปปิดปากเขาก็ดังเสื้อเชิ้ตมาด้านหลังทำให้แขนทั้งสองข้างดูเหมือนถูกมัดอยู่ กระดุมขาดหล่นลงพื้นส่งเสียงกร็อกแกร็กเบาๆแต่ก็ดังจนคุโรโกะนึกกลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน
“เฮ้ย นี่งอนกลับบ้านไปก่อนแล้วจริงดิ?” เสียงของอาโอมิเนะดังอยู่ใกล้ๆนี่เอง แค่ส่งเสียงร้องหน่อยเดียวเขาก็ได้ยินแล้ว
“ถ้าอยากกลับบ้านพร้อมมัน นายก็ร้องออกมาเลยเท็ตสึยะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ปากว่ามือขยับกระแทกเข้าอย่างรุนแรง เสียงปึดเบาๆที่คุโรโกะได้ยินเขารู้ได้ทันทีเลยว่ามันคงจะฉีกแล้ว แต่คุโรโกะก็เลือกที่จะเงียบ เขาไม่ต้องการให้ใครมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่น่าดูเลยสักนิด!
“พอเถอะ...” คุโรโกะว่าในน้ำเสียงมีกระแสเว้าวอนแลดูน่าเห็นใจ ทว่าสิ่งที่บดบังความเห็นใจของอากาชิมันมีมากกว่า
“ทำไมต้องพอ” กัดฟันถามเสียงเข้ม พอเห็นว่าอาโอมิเนะออกจากยิมไปแล้วอากาชิก็เริ่มพูดอีกครั้ง “กลัวว่ามันจะมาเห็นสินะ”
“...”
“กลัวว่าจะเข้าหน้ามันไม่ติดรึไง”
“...”
“กลัวว่ามันจะรับนายที่เป็นของฉันไม่ได้ใช่มั้ย”
“...”
“นายกลัวว่าเวลาที่ทิ้งฉันไปหามัน มันจะไม่ยอมรับนายใช่มั้ยเท็ตสึยะ!?
“...”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังเงียบ อากาชิก็ดึงนิ้วออกแล้วกระแทกของตัวเองเข้าไปแทน แต่ถึงอย่างนั้นคุโรโกะก็ยังไม่ยอมปริปากร้องออกไร ร่างนั้นแน่นิ่งไม่ว่าอากาชิจะทำเช่นไร ไม่ว่าจะปรนเปรอให้แค่ไหน ไม่ว่าจะรุนแรงด้วยเท่าไร คุโรโกะก็ไม่ยอมตอบโต้ สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวนอกจากเขาตอนนี้คงมีเพียงน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความเศร้าจากการไม่เชื่อใจ หัวใจที่เต้นแรงด้วยความผิดหวัง...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ และคุโรโกะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้มีครั้งต่อไป...นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่นาที...กี่ชั่วโมงแล้วหลังจากที่ออกมาจากโรงเรียน เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้คุโรโกะไม่มีแรงเดินจนอากาชิต้องแบกขึ้นหลัง ตรงบ่าที่คุโรโกะซบอยู่เปียกชื้น บอกได้เลยว่าเจ้าตัวร้องไห้หนักขนาดไหน ซึ่งอากาชิก็ไม่ว่าอะไร เขาเพียงแค่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆเพื่อกลับบ้าน บ้านของอากาชิที่คุโรโกะถูกบังคับให้เข้าไปอยู่โดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง การได้อยู่ใกล้ๆคนที่รักนับเป็นเรื่องที่ดี ทั้งคู่ยอมรับเลยว่ามีความสุขมากกับช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าอาจจะมีทะเลาะกันบ้าง แกล้งกันแรงไปบ้าง งอนกันข้ามวันบ้าง แต่สุดท้ายก็คืนดีกันทุกครั้งไป เห็นจะมีก็แต่เรื่องของอาโอมิเนะที่อากาชิไม่ยอมเข้าใจและไม่ยอมมองในแง่ดี อากาชิคอยจ้องแต่จะหาเรื่องอยู่เสมอเวลาที่เขาอยู่ซ้อมจนดึก
ทำไมไม่เคยฟังกันบ้าง
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของอากาชิเสมอเมื่อเห็นว่าคุโรโกะเปลี่ยนไปยังไงเพราะอาโอมิเนะ บอกแล้วบอกอีกว่าถ้าอยากจะซ้อมให้มาซ้อมกับเขา ทุกๆอย่างเขาสอนให้ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตัวติดอาโอมิเนะแจขนาดนั้นเสียหน่อย
ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจ
เป็นคำถามที่คุโรโกะคิดอยู่เสมอเวลาทะเลาะกันในเรื่องนี้ หากไม่ใช่ว่าเขาอยากแข็งแกร่งจนคู่ควรที่จะยืนอยู่เคียงข้างคนที่รักแล้วเขาคงไม่พยายามขนาดนี้...เขาแค่อยากจะยืนอยู่เคียงข้างอากาชิได้อย่างภาคภูมิและไม่น้อยหน้าไปกว่าคนอื่น
“ทำไม...” คุโรโกะเอื้อมมือไปกอดคออากาชิไว้หลวมๆ หยาดน้ำตาไหลรินอีกครั้งเมื่อกลั้นใจถามคำถามนี้ออกไป “...พวกเราเดินสวนทางกันที่ตรงไหน” แน่นอนอากาชิรู้ดีว่าคำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ และเขาก็ไม่คิดจะตอบอะไรนอกจากเดินไปเงียบๆปล่อยให้คุโรโกะได้ร้องไห้ต่อจนพอใจโดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อากาชิจะถูกสัมผัสแบบนี้
หลังจากวันนั้นคุโรโกะก็หายหน้าไปจากชมรมบาส ไม่มีใครในชมรมเห็นเขาเลยไม่ว่าจะตามหายังไง ในรายชื่อคุโระโกะมาเรียนครบเสมอแต่ไม่เห็นหน้าคนมา ทุกคนรู้สึกว่าความสามารถดุจดั่งเงาของคุโรโกะเป็นปัญหาขึ้นมาก็วันนี้ สิ่งที่เหลือไว้คงเป็นโน๊ตใบเล็กๆในห้องชมรมที่เขียนว่า
ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
หลังจากนั้นทีมบาสเก็ตบอลม.ต้นเทย์โควก็เริ่มเปลี่ยนไป ในทีมเหลือเพียงแค่อัจฉริยะทั้งห้า และพวกเขาทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

I Love U ~My Brother~ Part.3.5



เดี๋ยว!!! หยุด หยุดๆๆ จะทำอะไรของนายวะ เสียงหวานร้องแว้ดขึ้นท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเข็มนาฬิกา มือบางแกะมือปลาหมึกที่เริ่มจะไม่อยู่สุขหลังจากที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงได้ไม่ถึงสามนาที
ทำอะไร? เลิฟๆไง ถามได้ อีกฝ่ายตอบเสียงงึมงำ กัดซ้ำรอยเดิมที่ต้นคอจนอีกฝ่ายร้องเสียงดังพลิกตัวกลับมาผลักหัวถีบลำตัวออกให้ห่าง
กรณีของนายมันเข้าข่ายขืนใจเฟ้ย คนไม่เต็มใจจะมาทำได้ไงวะ เท่าที่จำได้เขายังไม่เคยขืนใจใครเลยซักครั้ง แล้วทำไมเขาต้องมาโดนขืนใจด้วยล่ะเนี่ย!
ขืนใจแค่นาทีเดียวเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นเรียกว่าสมยอม หัวเราะคิกขยับมือเลิกเสื้ออีกฝ่ายขึ้น
ต้องขอบคุณนิสัยเสียของอากิที่มักจะใส่แค่เสื้อบางๆกับบ็อกเซอร์เวลานอน อากิเป็นคนขี้ร้อนชนิดที่ว่าในคืนที่ไม่ใช่หน้าหนาวถ้าไม่เปิดแอร์จะขาดใจตายให้ได้เลยล่ะ
บ้านป้าแกสิ พอ หยุดเลย ฉันง่วงตัดบทดึงผ้าห่มคลุมตัวทั้งๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะห่มต้องลำบากพี่ชายให้มาห่มให้ทุกคืนเพราะกลัวจะเป็นไข้ ไม่ใช่ว่าห่วงมันหรอก แต่ห่วงตัวเอง ถ้าคนร่วมห้องเป็นหวัดเขาก็มีสิทธิ์เป็นตามมันไปด้วยน่ะสิ
ดูท่าอีกฝ่ายจะเข้าใจถึงได้หยุดระรานแล้วล้มตัวลงนอนอีกหน พอทุกอย่างเงียบร่างบางที่เหนื่อยมาทั้งวันกับกิจกรรมากมายก็เกือบจะหลับไปอยู่แล้วถ้าไม่ใช่ว่ามือมารมันกลับมาใหม่อีกรอบ
อือ...พอซักที ฉันรำคาญแล้วนะ ครางเสียงงัวเงียจะหลับแหล่มิหลับแหล่แต่มือยังกำผ้าห่มแน่น อีกฝ่ายหัวเราะคิกสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มลากมือตามแผ่นหลังที่ถูกกั้นด้วยเสื้อตัวบาง พอไปถึงชายเสื้อก็ถลกขึ้นไล้มือไปด้านหน้าลูบหน้าท้องเรียบที่เริ่มเกร็งตัว
โว้ย! คนจะหลับจะนอน จะมากวนทำหอกอะไรวะ ลุกพรวดออกมาจากผ้าห่มให้อีกฝ่ายคว้าตัวลงไปกดลงกับเตียงแล้วตามขึ้นไปคร่อมใช้น้ำหนักตัวกดร่างข้างใต้ที่พยศอย่างกับม้า
กวนจนกว่าจะได้เลิฟๆไง
ตอนกลางวันมันไม่พอรึไงถึงมาต่อตอนดึกเนี่ย อยากมากก็ทำไปคนเดียวสิวะ ไอ้ป๋องเล็กๆของแกน่ะ!!!” คำพูดคำจาเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
อากิเป็นคนที่พอง่วงแล้วไม่ได้นอนจะอารมณ์รุนแรงสุดๆ ข้อนี่เขารู้ดีถึงได้อยากนึกแกล้งขึ้นมา ก็ตอนวีนแตกมันน่ารักดี
มาดูกันว่าเล็กๆของฉันจะทำให้นายเจ็บได้ขนาดไหน
ใครมันจะไปยอมให้ทำล่ะวะ ฮึ่ย สบถอย่างหัวเสียนึกอยากจะถีบแต่มันดันเล่นกดขาเอาไว้แทบกระดิกไม่ได้
อา กิ จัง~ มาเล่นกันเถอะ คนถูกเรียกแทบจะลมจับกับท่าทางแอ๊บแบ๊วไม่สมตัว ไม่รู้หรือไงว่าหน้าตามันน่ะเด็กประถมยังเรียกลุง
หอกเอ้ย สบถคำหยาบออกมานับไม่ถ้วนจนอีกฝ่ายต้องจูบปิดปากนึกอยากจะสั่งสอนขึ้นมารำไร ไม่ได้ดูแลแค่สองปีปากกล้าได้ขนาดนี้เชียว คงต้องจับมาสั่งสอนกันใหม่ตั้งแต่ต้น ว่าเวลาอยู่ข้างใต้ควรจะพูดยังไงถึงจะถูกต้อง
โอกามิจับมือสองข้างขึ้นไปมัดตรึงไว้กับหัวเตียงกันอีกฝ่ายดิ้นหนี ร้องโวยวายไม่พอใจว่าทำกับเขาแบบนี้อีกแล้วจนต้องเอื้อมมือไปปิดปากได้ยินแค่เสียงอื้ออึง
ก็ไม่ได้อยากทำหรอกนะ แต่เวลาเลิฟๆกันท่านี้ของนายมันเซ็กส์ดีนี่ ฉันชอบยิ้มกริ่มดึงบ็อกเซอร์ตัวน้อยโยนลอยละลิ่วลงข้างเตียง จัดท่าใหม่จับอีกฝ่ายแยกขาออกแล้วแทรกตัวลงตรงกลาง ใช้มือข้างที่ว่างปลุกเร้าส่วนที่ยังไม่ตื่นตัวของอีกฝ่ายให้ตั้งชัน เสียงครางดังลอดออกมาเชิญชวนให้คนทำรู้สึกอยากฟังเปิดปากให้เป็นอิสระเร่งจังหวะมือให้ร่างบางร้องครางหนักเข้า แทบขาดใจเมื่อตอนจะถึงปลายสุดแห่งความต้องการพี่ชายกลับหยุดมือเอาเสียดื้อๆใช้นิ้วคลึงส่วนยอดที่มีน้ำสีขุ่นปริ่มออกมาหนักๆ
อ..ย่า...หยุดร้องบอกขยับสะโพกต้องการที่จะปลดปล่อยความทรมานแต่อีกคนกลับจุ๊ปากใส่กดหน้าท้องแบนร่างลงกับเตียง
อย่าทำ? อย่าหยุด? เอาไงแน่ก้มลงประกบริมฝีปากลงบนยอดอกสีสด ขบกัดแรงๆกระตุ้นอารมณ์อีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
อย่าหยุด..พึมพำเสียงเบา
หืม? ว่าไงนะครับคำถามทำให้คนข้างล่างนึกอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายกันไปข้าง ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาพูดเรื่องน่าอายแบบนี้เป็นรอบที่สาม
อย่าหยุดบอกเสียงดังขึ้นหน้าขึ้นสีแดงร้อนฉ่า คนถามยิ้มรับเลื่อนริมฝีปากครอบครอง ลิ้นร้อนไล้เลียดูดดุนรุนแรงสนองความต้องการของน้องชาย ร่างบางเกร็งตัวปลดปล่อยเข้าไปในปากพี่ชายที่รับมันไว้ด้วยความยินดี
นาย..กลืนมันว่าเสียงเบาก่อนจะนึกเสียใจเมื่ออีกฝ่ายหยัดกายขึ้นก่อนจะก้มลงประกบปาก ลิ้นร้อนดันของเหลวเข้าไปในปากของอีกฝ่ายบังคับให้กลืนลงคอจนหมดผละออกมาให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสหายใจ
แค่กๆ อึก...สำลักได้เพียงนิดเดียวริมฝีปากก็ประทับลงมาอีกหนบดเบียดรุนแรง สอดลิ้นเข้าเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของน้องชายที่ตอบรับอย่างลืมตัวไปตามอารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกรอบ
จูบเก่งจังนะน้องชาย แบบนี้ต้องให้รางวัลจับเรียวขาแยกกว้างกดนิ้วผ่านเนื้อนุ่มรุกล้ำเข้าสัมผัสความร้อนด้านในทีเดียวพร้อมกันสามนิ้ว ขยับมือเข้าออกไม่รอให้อีกคนได้ทันหายใจ
โอ้ย! อ...อ๊าร่างบางสะดุ้งตัวโยนเมื่อนิ้วเร็วไปโดนจุดกระสัน
ครั้งที่สามเองน้า~ ยังเป็นได้ขนาดนี้ คราวต่อไปคงไม่ต้องใช้นิ้วแล้วล่ะมั้งว่าเสียงกระเส่ามองร่างข้างใต้ที่ขึ้นสีเพราะอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมานึกอยากจะเข้าไปข้างในเร็วๆ
เร็วเท่าความคิดนิ้วแกร่งกระชากออกปลดกางเกงของตนออกเผยให้เห็นแก่นกายที่กำลังพองตัวเพราะความต้องการ
ไม่ ไม่เอานะปฏิเสธเสียงสั่นขยับตัวหนีแต่อีกฝ่ายยึดแน่น นำของรักตัวเองไปจดจ่ออยู่ที่ปากทางอีกฝ่าย
ฉันชอบเวลาที่นายร้องไห้ในท่านี้จัง เหมือนกำลังยั่วฉันเลยล่ะกำลังจะอ้าปากด่าแต่อีกฝ่ายกระทุ้งตัวเข้าไปในช่องทางแน่นเปลี่ยนเป็นเสียงร้องครางหวานหู เข้าไปได้เพียงครึ่งเดียวก็แทบขาดใจภายในยังตอดรับสุดยอดเหมือนเคย ฝืนผ่านเข้าไปลึกมากขึ้นเรียกเสียงร้องจากร่างบางให้ดังขึ้นอีกหน เรียวขาสั่นระริกรู้สึกจุกจนหน้าท้องเกร็งไปหมด
อาา..อึก  อ๊ะ..อ๊าาา....ร้องไม่เป็นภาษาเมื่อพี่ชายกระแทกเข้ามาสุดตัว ขยับเป็นจังหวะเนิบนาบราวกับรอให้รางบางรู้สึกชิน รู้สึกไม่ทันใจยกสะโพกสวยขึ้นแยกขาออกจากกันขยับเข้าออกรุนแรงจนเตียงทั้งหลังสั่นคลอน เหงื่อกาฬเริ่มไหลอาบไม่ได้รู้สึกเย็นเลยทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศก็ทำงานต่ำกว่ายี่สิบห้าองศา มีเพียงความร้อนระอุที่อีกฝ่ายมอบให้เท่านั้น
อือ อากิครางเสียงต่ำปรนเปรอร่างบางด้วยมือดูดดุนยอดอกตั้งชันรุนแรง
อา อ...อ๊า!ร้องเสียงเครือ เรียกให้อีกฝ่ายก้มลงจูบแลกลิ้นพัลวัน แนบชิดร่างกายลงมาแทบเป็นหนึ่งเดียว
เรียกชื่อฉันสิ เรียกฉันกระซิบแผ่วเบาข้างหูขบกัดราวกับจะหยอกล้อ สูดกลิ่นหอมจากเรือนร่างเร่งเร้าให้ความต้องการเพิ่มมากขยับกายรุนแรงขึ้น
อา...อึก..โอกะ..อะ..โอกามิออกเสียงอย่างยากเย็นตามคำร้องขอแอ่นกายขยับรับจังหวะเร่งขึ้นเรื่อยๆ
อ๊าา...ช่องทางภายในบีบตัวทำให้อีกฝ่ายชะงักกึกร่างบางเกร็งตัวเล็กน้อยปล่อยของเหลวสีขุ่นไหลเปรอะหน้าท้องพี่ชาย โอกามิกระแทกตัวเข้าลึกสุดปลดปล่อยในร่างที่รองรับสมใจ ล้มตัวลงซบหน้าอกบางที่กระเพื่อมขึ้นลงหอบหายใจถี่อย่างเหนื่อยจัด
พักกายอยู่ชั่วครู่ก็ประทับรอยจูบลงบนอกบางก่อนจะถามเสียงกระเส่า
อีกรอบดีไหมน้องชาย
ไร้เสียงตอบรับใดๆ ไม่มีแม้แต่คำด่าที่ควรจะได้ยิน คนถามเลื่อนสายตาขึ้นไปมองก็พบว่าน้องชายหลับไปแล้วเรียบร้อย ยิ้มขำก้มลงจูบหน้าผากเบาๆ
ฝันดีนะครับ

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

[Fic] Death Edge # Just One Night


Death Edge – Just One Night

แสงจันทร์เสี้ยวยามราตรีสาดส่องเบาบาง เมฆสีทึบจับตัวเป็นกลุ่มก้อนอยู่ไม่ห่างกันบดบังแสงจันทร์ไม่ให้สาดแสงไปได้ทั่วทุกที่ กลุ่มควันสีดำรูปร่างคล้ายเมฆลอยอยู่บนท้องฟ้าหากมองผ่านๆก็คงไม่ติดใจอะไร หากแต่ที่อยู่ภายนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับมนุษย์ ตรงข้ามของเขาเองก็มีอีกหนึ่งคน ทว่าที่กลางหลังมีปีกคล้ายค้างคาวคอยพยุงร่างนั้นให้ลอยอยู่บนอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าเห็นไกลๆคงต้องตกใจนึกว่าปีศาจ แต่ใบหน้ากับเส้นผมสีอ่อนนั้นมองอย่างไรก็เทพบุตรมาโปรด
นี่ผมกลายเป็นที่รองรับความหื่นกระหายของคุณไปแล้วเหรอครับ ลีน้ำเสียงเจือด้วยความไม่พอใจเอ่ยถามบุรุษที่ชื่อลี ควันสีดำก่อร่างอยู่รอบๆตัวเจ้าของคำถามไม่จางหายทั้งๆที่ด้านบนนี้สายลมพัดแรง ยกปืนคู่ใจขึ้นเล็งไปที่ลีอย่างไม่ลังเล นิ้วชี้ก็พร้อมจะลั่นไกทุกเมื่อ  
ความกระหายล่ะก็ใช่ แต่หื่นน่ะไม่มี วางใจได้ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มเหมือนจงใจจะยั่วอีกฝ่าย แน่นอนว่ามันได้ผล
เพราะทำกับแคลล็อตไม่ได้สิท่าเอาแต่ยึดติดกับความทรงจำในอดีต มัวกลัวอะไรอยู่มิทราบ
วันนี้กัดแรงเชียวนะ
ผมโกรธอยู่นะครับ คุณที่ทำให้ผมต้องมาอยู่ในร่างนี้ ผมล่ะเกลียดที่สุด!หลับตาลงเหมือนพยายามจะสะกดกลั้นอารมณ์ที่พุ่งพล่านขึ้นมา
            ทำให้นึกถึงอีกแล้ว ร่างกายที่แสนน่ารังเกียจนั้น
แต่ฉันชอบมันนะ ร่างนั้นของนาย ไคที่แปดเปื้อนยิ่งกว่าใครลืมตาขึ้นมาอีกทีลีก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว สันมือกระแทกลงที่ข้อมือด้านที่จับปืนอยู่ของไค ส่งผลให้ปืนนั่นร่วงลงจากท้องฟ้าตกลงสู่ผืนป่าเบื้องล่าง
ผมเกลียดนาย
นายน่ะก็แค่หนีความจริงเท่านั้นล่ะ” กระชากคอเสื้อเข้ามาชิด แสยะยิ้มมองอีกฝ่ายอย่างหยามเหยียด
“ที่หนีความจริงน่ะนายต่างหากล่ะครับ” ตอกกลับพร้อมกับหมัดลุ้นๆสวนเข้าเต็มกราม ลีถึงกับปลิวไปไกล
“ทำงี้ หาเรื่องกันรึไงวะแก” เหวี่ยงหมัดชกคืน ไคถึงกับกระเด็นไปติดผนังเลือดกลบปาก แรงของผีดูดเลือดนี่มันไม่ใช่เล่นๆเลย
“ผมโกรธจริงๆแล้วนะครับ!
“บังเอิญจังเลยนะ ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน!
แล้วสงครามย่อยๆก็บังเกิดขึ้น เสียงหมัดกระทบเข้ากับเนื้อดังไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาของทั้งสองคนตอนนี้มีทั้งรอยช้ำสีม่วงเขียวและคราบเลือดมากมาย  เสื้อผ้ายับยู่ยี้ไม่เหลือเค้าเดิม
“คุณลี
แล้วประสาทสัมผัสของผีดูดเลือดก็ทำงานได้ดีเช่นเคย เสียงแผ่วเบานั้นดังมาตามสายลมจากบนดาดฟ้าตึก หญิงสาวในชุดนอนกำลังยืนมองเขาด้วยความตื่นตกใจ จากนั้นไม่ถึงสามวินาทีเธอก็กรีดร้องเสียงลั่นตกใจกับบางอย่างที่ปิดตาของเธอแน่น เสียงปืนดังรัวยิ่งทำให้เธอร้องดังขึ้นอีกจนเขาต้องผลักเธอเข้าข้างใน
“ดูแลด้วย เกเฮนน่า” โยนให้หญิงสาวอีกคน น้ำเสียงบ่งบอกถึงความรำคาญเต็มทน
ประตูชั้นดาดฟ้าปิดลงแล้ว ทุกอย่างก็ตกสู่ความเงียบ ลียกเสื้อสูทออกดูแผลที่ท้อง เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างในเปรอะไปด้วยเลือด
นี่ตกลงมันยิงขู่รึกะฆ่าพวกเขาจริงๆกันแน่นะ
“แกน่ะ จะลอยชายอยู่ในสภาพนั้นไปถึงเมื่อไหร่กัน รู้ตัวไม่ใช่รึไงว่าเป็นตัวอันตราย จะให้คนอื่นมาเห็นสภาพนั้นรึไง” หันปืนไปหาไคพร้อมกับคำด่าชุดใหญ่ คนถูกว่าหน้าเจื๋อนไปแต่ก็ลอยลงมาที่ดาดฟ้า ทันทีที่เท้าแตะพื้นควันสีดำรอบตัวก็หายไป
“ขอโทษครับด๊อกเตอร์ แต่ลีนั่นแหละที่เริ่มก่อน” ไม่ยอมถูกว่าคนเดียวลากอีกคนเข้ามาเอี่ยวด้วย “ผมก็บอกเขาไปหลายครั้งแล้วนะว่าอย่าดูดไปแต่เลือดมนุษย์” แล้วเป้าหมายก็เปลี่ยนจากไคไปเป็นลีที่ตอนนี้จ้องไคเหมือนกับอยากจะฆ่าให้ตายเสียตรงนี้
“แกเองก็เหมือนกัน คิดจะดูดเลือดก็ให้มันรู้จักพอดีซะบ้าง อย่าให้ต้องมีปัญหามาตามเก็บทีหลังสิว๊อย อยากตายนักรึไงห๊า!?” ถามพร้อมลั่นไก ลุกกระสุนร้อนๆเจาะทะลุร่างของลีเป็นว่าเล่น เสื้อสูทที่ตอนแรกเนี๊ยบนิ๊งยับตอนที่มีเรื่องกับไค ตอนนี้พรุนด้วยลูกกระสุนของด๊อกเตอร์เรียบร้อย
“อั้ก ทำแบบนี้ฉันก็ตายได้จริงๆนะโว้ย”
ลีกับด๊อกเตอร์มีปากเสียงกันอีกนิดหน่อยในขณะที่ไคเดินกลับเข้าไปภายในตัวตึกเงียบๆ แม้จะปั้นหน้ายิ้มแย้มตอบกลับได้แต่หัวใจที่เฉยฉาเองก็เจ็บปวดกับคำว่าตัวอันตราแม้จะรู้ตัวอยู่เสมอ เธอคนนั้นจะทันเห็นเขาในร่างนั้นมั้ยนะ ไม่อยากให้เห็น ไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนนั้น เขาไม่อยากให้ใครเห็นทั้งนั้น ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ
ไคกลับห้องตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่สำหรับเขาแล้วพรุ่งนี้มันก็คงหายไป เขาจะยิ้มรับทุกๆอย่าง จัดการปัญหาได้ง่ายๆเหมือนเดิม แล้วทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นปกติ ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนทั้งๆที่เส้นผมยังเปียกจากการอาบน้ำ ใบหน้ายังปวดตุบๆจากการชกกันอย่างสมศักดิ์ศรีลูกผู้ชายกับลีไม่หาย ร่างกายเองก็อ่อนล้าเต็มที ดวงตาสีเข้มปรือลงเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา
“คิดจะหลับไปทั้งๆที่ฉันใกล้จะตายเหรอ” เสียงดังขึ้นจากทางประตู ไม่ต้องลืมตาดูก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงของลี
“นายก็ไปแทะเลือดแพ็คเอาสิ” บอกเสียงเบา (เลือดแพ็คคือเลือดที่เก็บเอาไว้ในถุง เป็นเสบียงของพวกผีดูดเลือด ตามอ่านได้ใน Death Edge ฉบับ Original จ้า)
“ผีดูดเลือดน่ะชอบกัดหรอกจะบอกให้” เสียงนั้นเข้ามาใกล้พร้อมกับที่นอนตรงปลายเตียงยุบลงนิดหน่อย
“ผมไม่มีเลือดจะให้คุณหรอกนะครับ”
“ทำไมฉันถึงไม่ดูดเลือดอีกแบบของนาย เพราะอะไรรู้มั้ย” มือหยาบที่เพิ่งใช้ชกกันวางลงบนหน้าแข้ง ลุบขึ้นไปถึงต้นขาเค้นครึงมันผ่านเนื้อผ้าบางๆ เรียกให้อีกคนต้องลืมตาขึ้นมาแบบตื่นเต็มที่
“นาย!” ลุกพรวดขึ้นมาแต่ก็โดนกดลงเหมือนเดิมตามมาด้วยลีที่ขึ้นมาคร่อมเขาอย่างไม่รีบร้อน
“เส้นเลือดใหญ่น่ะมีหลายที่นะรู้มั้ย ข้อมือ ข้อพับที่แขน ลำคอ” ชี้แต่ละส่วนไปตามที่ตัวเองพูดมาหยุดอยู่ที่ลำคอ ก่อนจะเลื่อนมือผ่านล่างลงไปข้างล่าง “ต้นขา”

“ลี หยุดเถอะครับ” ไคร้องบอกเสียงสั่นเมื่อถูกดูดเลือดผ่านตรงจุดที่ไม่เคยถูกใครสัมผัส ปกติแล้วลีจะดูดเลือดเขาที่แขนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่วันนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงได้ฝังคมเขี้ยวลงบนต้นขา ตรงนั้นเส้นเลือดใหญ่หายากจะตายไป เขาอาจจะขาขาดได้เลยหากโดนกัดพลาดไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เขารับไม่ได้ที่ต้องมาอยู่ในท่าที่น่าอายอย่างการถ่างขาให้ใครดูดเลือด แบบนี้ไม่เคยทำมาก่อน น่าอับอาย ถ้ามีใครมาเห็นเข้า
“นายเป็นหัวหน้านี่ ก็ต้องรับผิดชอบสิ” อธิบายพลางเลียเอาเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด ลมหายใจเย็นเฉียบนั้นไม่ได้ทำให้เลือดแข็งตัวแล้วหยุดไหลเลย มันกลับทำให้เลือดของไคไหลมากกว่าเดิม หัวใจทำงานหนักสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆมากกว่าปกติโดยเฉพาะใบหน้าที่ตอนนี้แดงก่ำด้วยความรู้สึกอาย
“ถ้าอย่างนั้นก็เร็วๆสิครับ แบบนี้ผมก็เมื่อยนะ” พยายามพูดให้เหมือนปกติที่สุด แต่นอกจากลีจะไม่ทำตามแล้วเขายังแกล้งเลียเข้าไปซะลึกจนเฉี่ยวเข้ากับส่วนกลางของร่างกาย
“น่ารักเชียว” ขยับรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาที่น่าพอใจขนาดไหน ไคหัวเสียสุดๆเพราะรู้ดีว่าลีหมายถึงอะไร น่าฆ่านัก และที่น่าฆ่ายิ่งกว่าคือตัวเองที่ดันไปรู้สึกกับลิ้นของผู้ชาย! ให้ตายเถอะ นี่มันไม่ปรกติแล้ว
“พอแล้วครับลี” ไคพยายามจะดันลีออกห่างแต่ไม่เป็นผล ร่างกายเขาอ่อนล้าเกินกว่าจะสู้แรงผีดูดเลือดที่ตอนนี้คงมีพละกำลังมากกว่าเขาเป็นสิบเท่า
ลีไม่ตอบอะไรเพียงแค่ใช้มือดึงชั้นในอีกฝ่ายออกครอบครองส่วนที่เพิ่งชมว่าน่ารักด้วยปาก เขี้ยวคมๆที่เฉี่ยวไปโดนทำให้ความน่ารักเปลี่ยนเป็นความน่าเกรงขาม
“โอะ ไม่น่ารักแล้วแฮะ” จบคำไคก็ตั้งท่าจะด่าแต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงครางแทน ลีใช้ลิ้นครึ่งส่วนปลายหนักหน่วงเช่นเดียวกับมือที่ยกขึ้นมาปรนเปรอให้
“ล ลี อืออ”
“ถ้าร้องเสียงดังเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเอาหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็เลิก อ๊ะ” ตะครุบปากตัวเองทันที ไคพยายามกลั้นเสียงไม่ว่าลีจะใช้วิธีไหนปรนเปรอให้เขา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเสมอตอนนี้ไม่มีแล้ว เหลือแค่ใบหน้าที่แสนทรมานปนความวาบหวามเท่านั้น ลมหายใจขาดห้วงไม่เป้นจังหวะ ร่างที่นอนอยู่สะดุ้งทุกครั้งเวลาที่เขี้ยวของผีดูดเลือดเฉี่ยวมาโดน ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม “พอ ลี พอแล้ว”
เจ้าของชื่อหยุดตามคำร้องนั้นแล้วหยัดกายขึ้น ริมฝีปากนั้นยังคงมีเลือดของไคติดอยู่ และยังมีอย่างอื่นอยู่ด้วย ไคตัวสั่นระริก เขาทั้งรู้สึกโล่งอกและรู้สึกเสียดายไปในเวลาเดียวกัน ก็เขาเกือบจะไปอยู่แล้ว
“อยากจะขอร้องอะไรฉันอีกรึเปล่า” คำถามนั้นเหมือนจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ดูจากรอยยิ้มแสนมั่นใจนั่นก็รู้ เขาจะไม่ให้หมอนี่ได้ใจไปมากกว่านี้หรอก
“ช่วยออกไปจากห้องของผมด้วยครับ”
“ปากไม่ตรงกับใจเลยนะนายนี่” ว่าเสียงขำๆก่อนจะถอดเสื้อสูทเกะกะออก เสื้อเชิ้ตเองก็ถอดออกเหมือนกัน ตรงตำแหน่งที่ถูกยิงไม่เหลือแผลให้เห็นแล้ว
“ผมพูดในสิ่งที่ควร”
“งั้นฉันจะทำในสิ่งที่ควรหลังจากเสร็จธุระกับนายแล้วกัน”
ไคพยายามแล้วที่จะกลั้นเสียงของตัวเอง แต่สิ่งที่ลีทำกับเขานั่นนอกจากจะไม่ไดช่วยเขาแล้วยังทำให้เขาต้องร้องดังกว่าเดิม ลียกมือขวาที่ชุ่มไปด้วยน้ำเหลวสีขุ่นขึ้นมาดู ก่อนจะใช้มือนั้นเลื่อนลงไปสัมผัสด้านหลังที่แสนคับแคบนั้น
“ย หยุด ผมเจ็บ” ร้องเสียงดังพยายามถดตัวหนีแม้ร่างกายจะรู้สึกปรารถนาอยู่ลึกๆ แต่หัวใจไม่ได้รู้สึกยินดีกับบความปรารถนานี้เลยแม้เพียงสักนิด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะเด้งหลุดออกมาจากกายอยู่แล้ว ยิ่งนิ้วนั้นพยายามแทรกสอดผ่านเข้ามาก็ยิ่งทำให้หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบอยากตายๆให้รู้แล้วรู้รอด ความรู้สึกนั้นแปลกประหลาดเหลือเกิน
“อย่าเกร็งสิ” เลียริมฝีปากแผลบ ดันนิ้วผ่านเข้าไปลิ้มรสความนุ่มนิ่มด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งภายในทั้งคนที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของไคนั้นดูทรมานเสียจนน่าสงสาร แต่มันกลับยิ่งทำให้เขาต้องการมากขึ้นไปอีก อยากจะเห็น ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเสมอนี่เปลี่ยนไป อยากทำลายมัน รอยยิ้มที่น่ารำคาญนั่น
แค่คิดความรู้สึกก็พลุ่งพล้าน ลียกขาสองข้างของไคขึ้นด้วยความร้อนใจกระสันความต้องการที่ไม่สามารถห้ามได้ ความต้องการแข็งแกร่งดึงดันจะผ่านเข้าไปสัมผัสความนุ่มนิ่มแทนที่นิ้วเมื่อครู่โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะร้องว่าเจ็บปวดเพียงใด ดวงตาสีเข้มตอนนี้ถูกบดบังด้วยม่านน้ำตาแลดูน่าสงสาร
“พอ ไม่เอาแล้ว ลี อึก อ๊า!” แผดเสียงดังลั่นเมื่อความแข้งขืนนั้นแทรกผ่านเข้ามาข้างใน เลือดสีสดไหลออกจากบาดแผลกระตุ้นผีดูดเลือดให้รู้สึกปรารถนามากขึ้น
“แค่คืนนี้เท่านั้นไค ขอแค่คืนนี้” ลีรำพึงเบาๆขณะรั้งสะโพกผ่านเข้าออกความคับแคบที่แสนเย้ายวน ความแข็งแกร่งกระแทกกระทั้นเข้าหาความอ่อนนุ่มลึกขึ้น สุดท้ายแล้วไคเองก็ไม่สามารถหักห้ามใจไม่ให้ตอบรับความหฤหรรษ์นี้ไม่ได้ ริมฝีปากเผยอขึ้นครางกระเส่า เสียงร้องทรมานในตอนแรกเองก็เปลี่ยนเป็นความต้องการที่อยากให้เติมเต็มมากขึ้น
น่าแปลกใจที่เทวาไม่ได้เข้าสิงพวกเขา แต่ความรู้สึกต้องการแห่งกามนั้นกลับผลักความเป็นเหตุเป็นผลทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย
“ฉันจะฆ่านายลี ฉันจะฆ่านายแน่” โน้มตัวลงต่ำมามองดวงตาสีเข้มที่ตั้งมั่นจะฆ่าเขาหลังจากนี้ให้ชัดๆ ขยับรอยยิ้มขำให้กับประโยคที่น่าหัวเราะนั้น
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกไค ตราบใดที่นายยังคงเป็นนาย และฉันยังคงอยู่ข้างนาย นายฆ่าฉันไม่ได้หรอก” แนบริมฝีปากลงประทับจูบแนบแน่น
ตราบใดที่นายยังเป็นอยู่อย่างนี้ก็ฆ่าฉันไม่ได้หรอก ไค

“คุณไค เมื่อคืนไม่เป็นอะไรนะคะ ไม่สบายหายรึยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามทันทีเมื่อพบหน้ากัน
“เมื่อคืนขอโทษด้วยนะครับคุณมิกิ ที่ไม่ได้ไปทานข้าวเย็นด้วย แต่ผมไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ” ยิ้มตอบเหมือนจะบอกว่าตอนนี้เขาสบายๆหายห่วง
“แต่เมื่อคืน” มิกิยังคงดูลังเลว่าจะถามดีไหมเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน คนที่สู้อยู่กับลี จะใช่เขาหรือเปล่านะ
“ครับ” เขายิ้ม
” เธอชะงักไป รอยยิ้มของเขาเหมือนจะบอกเธอว่าอย่าถามต่อจะดีกว่า และจริงๆเธอก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดี คุณไคของเธอเป็นมนุษย์นี่นา เป็นมนุษย์
“ครับผม” เขายังคงยิ้ม รับรู้ได้ถึงความกังวลของเธอที่แผ่ออกมา แต่แล้วมันก็หายไป
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอยิ้มร่า เธอตัดสินใจแล้วนี่นาว่าจะเชื่อใจเขา “อ๊ะ คุณลี ไปทานข้าวเช้าด้วยกันนะคะ” ร้องทักคนที่เดินมาสมทบ ชายหนุ่มมองเธอกับคนข้างๆสลับกัน เขาไม่ตอบอะไรเพียงแค่เดินผ่านไปเฉยๆ แม้แต่ไคเขาเองก็ไม่สนใจแม้ว่าเมื่อคืนจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ก็ตาม
แค่คืนนี้งั้นสินะ
“ถ้างั้นเราก็ไปทานข้าวเช้ากันเถอะครับ วันนี้ยังมีเรื่องให้คุณมิกิได้ตกใจอีกเยอะเลยนะครับ”
“อ๊ะ ค่ะ”
ถึงจะแค่คืนนี้ก็เถอะ แต่สิ่งที่พูดไว้เมื่อคืนเขาไม่ลืมหรอก สักวันเขาจะฆ่ามันแน่ ไคน์ ลี


------- END -------