วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

[Fic] Kuroko no Basket - Cross Think, Missing Love


PS. จะไม่อธิบายอะไรมากนะคะเพราะถือว่าเป็นฟิค และคนอ่านส่วนมากรู้จักกันดีอยู่แล้ว
ส่วนคนไม่รู้ก็ขอโทษค่ะ ทำใจนิสนุงนะ -.-

“กลับมาแล้วครับ”
“ไปไหนมาเท็ตสึยะ ไปกับใคร ไปทำอะไร” คำถามดังขึ้นทันทีเมื่อประตูห้องปิดลง ชายหนุ่มในห้องละสายตาจากจอโทรทัศน์เหลือบมองคนที่กำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่นไป
“ซ้อมบาสที่ยิมน่ะ กับอาโอมิเนะคุง” ตอบคำถามเก็บรองเท้าเข้าชั้นแล้วเดินตรงไปที่บาร์ครัว มองหาของกินในตู้เย็นแล้วหยิบเอาแซนวิชที่เหลือจากเมื่อคืนขึ้นมากินรองท้อง
“ดึกขนาดนี้ทำไมไม่นอนที่ยิมกับมันซะเลยล่ะ” กดรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ
“ถ้านอนได้ก็ดีสิครับ” เขาตอบเสียงเบาทว่าแจ่มชัดในโสตประสาทของอีกคน รีโมทถูกขว้างไปกระแทกกับผนังทางเดินนอกห้องนั่งเล่น
“อยากจะไปมากนักก็ไสหัวไปสิ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบและเย็นชา
“ผมแค่คิดว่าอากาชิคุงอาจจะดีใจถ้าได้ยินผมตอบแบบนั้น” คุโรโกะ เท็ตสึยะว่าไว้แบบนั้นแล้วเดินเข้าห้องนอนไป อากาชิเดินไปปิดโทรทัศน์แล้วเดินไปเก็บซากรีโมทอย่างใจเย็น เพราะอย่างน้อยคุโรโกะก็ไม่ได้เดินจากไปอย่างที่ปากเขาว่า อย่างน้อยตอนนี้คุโรโกะก็ยังเลือกเขา...

โรงเรียนมัธยมเทย์โคว ยิมบาสเกตบอล
“อีกสองวันทีมเราแข่งกับโรงเรียน Y นะคะ วันนี้ฉันก็เลยทำไอ้นี่มาให้ด้วยล่ะ” โมโมอิยิ้มร่าในขณะที่ส่งตารางซ้อมมาให้ “ถึงจะแค่กระชับมิตร แต่ก็ควรซ้อมไว้นะ”
“ไม่เห็นจำเป็นตรงไหน” อาโอมิเนะว่าโยนกระดาษนั่นคืนโมโมอิ
“ถึงเก่งแต่ถ้าขาดการซ้อมฝีมือก็ทื่อลงได้เหมือนกัน” มิโดริมะแขวะไปคำแยกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนใครเพื่อน
“ถือซะว่าซ้อมเผื่อการแข่งใหญ่ที่จะมาถึงก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันเองนี่นะ” คิเสะว่ายิ้มหน้าบานตามมิโดริมะไปเปลี่ยนชุดด้วย
“ถ้าไม่ซ้อมละก็ผมแซงหน้าไม่รู้ด้วยนะครับ” คุโรโกะว่ายิ้มๆพับกระดาษใส่กระเป๋า คำพูดที่ไม่มีทางเป็นไปได้ทำเอาอาโอมิเนะระเบิดหัวเราะออกมา
“บ้า มันเป็นไปไม่ได้หรอก เงาอย่างนายจะปรากฏออกมาได้ก็เฉพาะตอนที่แสงอย่างฉันอยู่ด้วยเท่านั้นล่ะ เจ้าบ้าเท็ตสึเอ้ย” จับล็อคคอยีหัวด้วยความมันส์มืออย่างยิ่ง “เอ้า ซ้อมๆ”
“มันเจ็บนะครับ”
“...จัดหนักไปเลยนะซัทสึกิ ไม่ต้องคิดว่าเท็ตสึยะจะไม่ไหว ที่ทุกคนยังย่ำอยู่กับที่เพราะอะไรเธอคงรู้นะ” อากาชิบอกเสียงเข้มมองตามสองคนที่เดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกัน
“ย่ำอยู่กับที่เหรอ แต่อัตราการพัฒนาของทุกคนก็เพิ่มขึ้นทุกวันนะ” เธอแย้ง เปิดแฟ้มหน้าที่มีกราฟของแต่ละคนให้กัปตันทีมดู
“แค่นี้ไม่ทำให้ได้ชัยชนะเสมอไปหรอก ไปแก้มาใหม่ซะ”
“ต แต่...” กำลังจะแย้งนัยน์ตาคมกริบก็ตวัดขึ้นมามองจนไม่กล้าเถียง พออากาชิเดินไปแล้วเธอก็งึมงำๆอยู่คนเดียว
“เหมือนช่วงนี้อากาชินจะอารมณ์ไม่ดีนะ ระวังหน่อยล่ะ” มุราซาคิบาระยัดซองมันฝรั่งทอดใส่มือโมโมอิแล้วเดินตามไป
“โธ่! ทุกคนก็กลัวแต่อากาชิคุงหมดเลยอะ! ...รวมถึงตัวฉันเองด้วย” ประโยคหลังแผ่วเสียงลงอย่างเศร้าใจ

การซ้อมก็เป็นไปอย่างราบรื่นอย่างเช่นทุกวัน และไม่มีวันไหนเลยที่อากาชิจะไม่หัวเสียกับสิ่งที่เห็น
“อาโอมิเนจจิเป็นคนบอกไม่อยากจะซ้อมเองแท้ๆ แต่ก็เลิกทีหลังตลอด คุโรโกจจิก็ตั้งใจ๊ ตั้งใจ”
“เท็ตสึคุงเวลาเล่นบาสนี่ช่างเปล่งประกาย อ๊า”
แล้วคิเสะกับโมโมอิจับมือกันมองอาโอมิเนะกับคุโรโกะตาเป็นประกายวิ้งๆแลดูน่ากลัวยิ่งนัก และนั่นล่ะที่ทำให้อากาชิยิ่งหัวเสียหนักเข้าไปอีก
“เท็ตสึยะ” อากาชิส่งเสียงเรียกให้คนในสนามหันมามองอย่างสงสัย “พอได้แล้ว” ออกปากบอกให้พอทั้งๆที่เป็นคนสั่งให้จัดตารางหนักๆ แต่อันที่จริงมันก็เลยเวลามาแล้ว เขามีสิทธิที่จะบอกให้หยุด
“ผมจะซ้อมครับ อากาชิคุงกลับไปก่อนเถอะ” หันมาบอกแล้วชู้ตลูกไปทางแป้น มันโดนขอบเด้งดึ๋งๆไปอีกฝั่งของสนาม แล้วอาโอมิเนะก็ระเบิดหัวเราะกร๊ากออกมา
“...” อากาชิไม่ตอบอะไร เขาแค่เดินออกมาจากยิมเงียบๆคนเดียว พอคิดว่าลับสายตาผู้อื่นแล้วเขาก็เอนตัวไปพิงผนังเหมือนกับหมดแรง
จะมีวันไหนมั้ยที่สองคนนี้ไม่ซ้อมกันจนดึกดื่น แล้วทำไมต้องซ้อมกันแค่สองคน แล้วทำไมถึงได้ทำหน้าตามีความสุขเวลาอยู่กับหมอนั่น ทำไมเวลาอยู่กับเขาถึงไม่เคยยิ้มให้ ทำไม...หัวใจดวงนั้นยังมีที่ว่างไว้เพื่อเขาหรือเปล่า แม้แต่คำว่ารัก ไม่สิ แม้แต่คำว่า ชอบ เขาก็ยังไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง
“ฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งนายไปหรอกเท็ตสึยะ ไม่ว่าจะต้องทำยังไงฉันก็ไม่ยอม”

“ฉันว่านายเลิกฝึกชู้ตเถอะ น่าจะเพิ่มกำลังกายให้มันมากกว่านี้นะ จุดอ่อนเดียวของนายไม่ใช่ทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่ว่าเป็นเรื่องของร่างกายที่อ่อนปวกเปียกนี่ต่างหาก” อาโอมิเนะว่าโยนบอลใส่คุโรโกะแบบให้รับได้ และพอรับได้เจ้าตัวก็ล้มลงไปอย่างที่คนปาคาดไว้ “บอกแล้วนายมันปวกเปียก”
“ในสนามมีใครเค้าส่งบอลแรงแบบนี้บ้างล่ะครับ” หรี่ตามองคนที่เดินมานั่งข้างๆกัน สายตาเหมือนจะถามว่าบ้าหรือเปล่า
“นายไม่รู้ตัวสินะว่าเวลาตัวเองส่งลูกน่ะมันโคตรจะแรง ฉันได้กล้ามเพิ่มขึ้นก็เพราะนายนั่นแหละ”
“โอ้ ดีใจมากเลยครับ” ทำหน้าทำตาภูมิใจซะเต็มประดาจนคนข้างๆหมั่นไส้เขกหัวไปหนึ่งที
“มันเจ็บนะครับ”
“เจ็บสิดี ไปๆ กลับได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าอากาชิก็ฆ่าฉันตายพอดี” ฉุดคุโรโกะให้ลุกขึ้นแต่ขาของคุโรโกะชาหนึบเพราะตะคริวกินก็เลยล้มลงไปอีกรอบแถมยังดึงอาโอมิเนะล้มลงไปด้วยเสียอีก ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในท่าที่ชวนให้อากาชิมาฆ่าจริงๆนั่นล่ะ อาโอมิเนะนอนทับคุโรโกะอยู่แบบมึนๆ “เจ้างี่เง่าเท็ตสึ”
“เจ็บของจริงเลยนะครับแบบนี้” นอนนิ่งมองเพดานด้านบนด้วยความอึดอัดอย่างถึงที่สุด โดนคนตัวเท่าควายทับนี่มันไม่เบาเลยจริงๆ
“ฉันก็เจ็บเหมือนกันล่ะน่า นี่เป็นไร”
“สงสัยจะเป็นตะคริว...” ยังฟังคำตอบไม่จบอาโอมิเนะจับคุโรโกะยกพาดบ่าเดินเข้าห้องพักไป ระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้ายังคงมีเสียงโวยวายและเสียงหัวเราะเหมือนสะใจของอาโอมิเนะลอยออกมาจากห้องตลอดจนกระทั่งคุโรโกะเดินออกมาก่อน ดูเหมือนอาโอมิเนะจะท้องเสียเลยให้เขาออกมารอก่อน และทันทีที่ปิดประตูด้านหน้าของคุโรโกะก็มืดไปหมด เขารู้สึกเหมือนถูกอุ้มขึ้นเหนือพื้น มองเห็นอีกทีก็มาอยู่ในห้องมืดๆที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์กีฬาแล้ว
“ถ้าไม่กลับมาก็คงไม่เห็น” เสียงนั้นทำให้คุโรโกะเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอในเวลาอย่างนี้ โดยเฉพาะที่นี่
“อากาชิคุง”
“ตกใจที่เห็นฉันเหรอ”
“ผมคิดว่านายกลับไปแล้วซะอีก” คำตอบไม่ตรงคำถามทำเอาอากาชิที่ทำเป็นใจเย็นชักอยากจะหลุดขึ้นมาหน่อยๆ
“ก็เห็นแล้วนี่ว่ายังอยู่”
“ครับ เห็นอยู่”
“กลับ” น้ำเสียงนั้นแสดงชัดเจนว่าเป็นคำสั่ง แล้วอากาชิก็ถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อคุโรโกะยังไม่ยอมกลับ
“แต่อาโอมิเนะคุงยังไม่ออกมาเลยนะครับ”
“หมอนั่นกลับเองได้ ไม่จำเป็นต้องห่วงจนออกนอกหน้าหรอก”
พอได้ยินอากาชิว่าอย่างนั้นคุโรโกะก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมก็บอกหลายครั้งแล้วนะครับว่ามันไม่ใช่อย่างที่อากาชิคุงคิด”
“งั้นเรามาพิสูจน์กันว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด”
สิ้นคำร่างของคุโรโกะก็ถูกจับหันหลังดันไปกระแทกกับม้ากระโดดดังโครม ตามด้วยเสื้อนอกที่ถูกกระชากออกไปได้ง่ายๆ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกทำอะไรเข็มขัดเส้นเล็กก็ถูกปลดออกแล้ว
“อากาชิคุง นี่มันในโรงเร-...” เสียงขาดห้วงไปเมื่อนิ้วชี้และนิ้วกลางของอากาชิสอดเข้ามาในโพรงปากจนทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ ร่างของอากาชิขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกร้อนที่แผ่นหลัง
“เปลี่ยนบรรยากาศยังไงล่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำเสื้อผ้านายเปื้อนหรอก” ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนี้ทำให้เปื้อนได้มากแค่ไหน
“อึก....อะ”
กางเกงนักเรียนถูกปลดออกแล้วพร้อมกับชั้นใน คุโรโกะหลับตาแน่นยามที่นิ้วร้อนนั้นพยายามจะสอดเข้ามาภายใน
“แห้งแบบนี้ก็แย่นะ นายคงจะเจ็บใช่มั้ย” ถามคำถามพร้อมกับเลื่อนมือไปหยอกส่วนที่กำลังแข็งขืนขึ้นมาเพราะมือของเขา คุโรโกะอยากจะบอกใจจะขาดว่าเจ็บ อยากจะตั้นหน้าคนพูดสักทีที่ถามแต่ไม่ยอมให้เขาตอบ
“เฮ้ เท็ตสึ”
เสียงจากนอกห้องเก็บอุปกรณ์ทำให้คุโรโกะยิ่งตื่นตัว และปฏิกิริยาแบบนั้นล่ะยิ่งทำให้อากาชิรู้สึกคลางแคลงใจมากขึ้น ถ้าหากไม่มีอะไรกันจริงทำไมถึงเป็นได้ขนาดนี้ อากาชิเอานิ้วออกจากปากของคุโรโกะก่อนจะดันนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลังพร้อมกันสามนิ้ว
“...!” คุโรโกะเกือบจะหลุดเสียงร้องออกไปแล้ว โชคดีที่ยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ทัน แล้วมือข้างนั้นก็ถูกอากาชิดึงออกไปไพร่หลังไว้ “ผมเจ็บ...อากาชิคุง” ว่าเสียงเบาราวกระซิบ ไหล่ที่อยู่ในท่าผิดรูปปวดตุบจนอยากร้องออกมาดังๆ
“เจ็บก็ร้องออกมาสิ กลัวอะไร” ว่าแล้วขยับนิ้วเข้าออก พอเห็นว่าคุโรโกะจะเอามืออีกข้างไปปิดปากเขาก็ดังเสื้อเชิ้ตมาด้านหลังทำให้แขนทั้งสองข้างดูเหมือนถูกมัดอยู่ กระดุมขาดหล่นลงพื้นส่งเสียงกร็อกแกร็กเบาๆแต่ก็ดังจนคุโรโกะนึกกลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน
“เฮ้ย นี่งอนกลับบ้านไปก่อนแล้วจริงดิ?” เสียงของอาโอมิเนะดังอยู่ใกล้ๆนี่เอง แค่ส่งเสียงร้องหน่อยเดียวเขาก็ได้ยินแล้ว
“ถ้าอยากกลับบ้านพร้อมมัน นายก็ร้องออกมาเลยเท็ตสึยะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ปากว่ามือขยับกระแทกเข้าอย่างรุนแรง เสียงปึดเบาๆที่คุโรโกะได้ยินเขารู้ได้ทันทีเลยว่ามันคงจะฉีกแล้ว แต่คุโรโกะก็เลือกที่จะเงียบ เขาไม่ต้องการให้ใครมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่น่าดูเลยสักนิด!
“พอเถอะ...” คุโรโกะว่าในน้ำเสียงมีกระแสเว้าวอนแลดูน่าเห็นใจ ทว่าสิ่งที่บดบังความเห็นใจของอากาชิมันมีมากกว่า
“ทำไมต้องพอ” กัดฟันถามเสียงเข้ม พอเห็นว่าอาโอมิเนะออกจากยิมไปแล้วอากาชิก็เริ่มพูดอีกครั้ง “กลัวว่ามันจะมาเห็นสินะ”
“...”
“กลัวว่าจะเข้าหน้ามันไม่ติดรึไง”
“...”
“กลัวว่ามันจะรับนายที่เป็นของฉันไม่ได้ใช่มั้ย”
“...”
“นายกลัวว่าเวลาที่ทิ้งฉันไปหามัน มันจะไม่ยอมรับนายใช่มั้ยเท็ตสึยะ!?
“...”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังเงียบ อากาชิก็ดึงนิ้วออกแล้วกระแทกของตัวเองเข้าไปแทน แต่ถึงอย่างนั้นคุโรโกะก็ยังไม่ยอมปริปากร้องออกไร ร่างนั้นแน่นิ่งไม่ว่าอากาชิจะทำเช่นไร ไม่ว่าจะปรนเปรอให้แค่ไหน ไม่ว่าจะรุนแรงด้วยเท่าไร คุโรโกะก็ไม่ยอมตอบโต้ สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวนอกจากเขาตอนนี้คงมีเพียงน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความเศร้าจากการไม่เชื่อใจ หัวใจที่เต้นแรงด้วยความผิดหวัง...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ และคุโรโกะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้มีครั้งต่อไป...นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่นาที...กี่ชั่วโมงแล้วหลังจากที่ออกมาจากโรงเรียน เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้คุโรโกะไม่มีแรงเดินจนอากาชิต้องแบกขึ้นหลัง ตรงบ่าที่คุโรโกะซบอยู่เปียกชื้น บอกได้เลยว่าเจ้าตัวร้องไห้หนักขนาดไหน ซึ่งอากาชิก็ไม่ว่าอะไร เขาเพียงแค่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆเพื่อกลับบ้าน บ้านของอากาชิที่คุโรโกะถูกบังคับให้เข้าไปอยู่โดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง การได้อยู่ใกล้ๆคนที่รักนับเป็นเรื่องที่ดี ทั้งคู่ยอมรับเลยว่ามีความสุขมากกับช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าอาจจะมีทะเลาะกันบ้าง แกล้งกันแรงไปบ้าง งอนกันข้ามวันบ้าง แต่สุดท้ายก็คืนดีกันทุกครั้งไป เห็นจะมีก็แต่เรื่องของอาโอมิเนะที่อากาชิไม่ยอมเข้าใจและไม่ยอมมองในแง่ดี อากาชิคอยจ้องแต่จะหาเรื่องอยู่เสมอเวลาที่เขาอยู่ซ้อมจนดึก
ทำไมไม่เคยฟังกันบ้าง
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของอากาชิเสมอเมื่อเห็นว่าคุโรโกะเปลี่ยนไปยังไงเพราะอาโอมิเนะ บอกแล้วบอกอีกว่าถ้าอยากจะซ้อมให้มาซ้อมกับเขา ทุกๆอย่างเขาสอนให้ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตัวติดอาโอมิเนะแจขนาดนั้นเสียหน่อย
ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจ
เป็นคำถามที่คุโรโกะคิดอยู่เสมอเวลาทะเลาะกันในเรื่องนี้ หากไม่ใช่ว่าเขาอยากแข็งแกร่งจนคู่ควรที่จะยืนอยู่เคียงข้างคนที่รักแล้วเขาคงไม่พยายามขนาดนี้...เขาแค่อยากจะยืนอยู่เคียงข้างอากาชิได้อย่างภาคภูมิและไม่น้อยหน้าไปกว่าคนอื่น
“ทำไม...” คุโรโกะเอื้อมมือไปกอดคออากาชิไว้หลวมๆ หยาดน้ำตาไหลรินอีกครั้งเมื่อกลั้นใจถามคำถามนี้ออกไป “...พวกเราเดินสวนทางกันที่ตรงไหน” แน่นอนอากาชิรู้ดีว่าคำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ และเขาก็ไม่คิดจะตอบอะไรนอกจากเดินไปเงียบๆปล่อยให้คุโรโกะได้ร้องไห้ต่อจนพอใจโดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อากาชิจะถูกสัมผัสแบบนี้
หลังจากวันนั้นคุโรโกะก็หายหน้าไปจากชมรมบาส ไม่มีใครในชมรมเห็นเขาเลยไม่ว่าจะตามหายังไง ในรายชื่อคุโระโกะมาเรียนครบเสมอแต่ไม่เห็นหน้าคนมา ทุกคนรู้สึกว่าความสามารถดุจดั่งเงาของคุโรโกะเป็นปัญหาขึ้นมาก็วันนี้ สิ่งที่เหลือไว้คงเป็นโน๊ตใบเล็กๆในห้องชมรมที่เขียนว่า
ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
หลังจากนั้นทีมบาสเก็ตบอลม.ต้นเทย์โควก็เริ่มเปลี่ยนไป ในทีมเหลือเพียงแค่อัจฉริยะทั้งห้า และพวกเขาทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะเท่านั้น